สัญญาณความร้าวฉานระหว่างสองมหาอำนาจแห่งสหรัฐฯ ปะทุขึ้นอย่างชัดเจน เมื่ออีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ SpaceX ประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “พรรคอเมริกา” (America Party) หลังขัดแย้งรุนแรงกับพันธมิตรอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ถึงขั้นเตือนว่าร่างกฎหมายลดภาษีของทรัมป์อาจนำประเทศไปสู่ภาวะล้มละลาย

มัสก์โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ระบุว่า “วันนี้ พรรคอเมริกาได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว เพื่อคืนเสรีภาพของพวกคุณ” พร้อมเผยว่าผลโหวตจากแฟนคลับใน X ให้น้ำหนักถึง 2 ต่อ 1 ต้องการพรรคใหม่

ต้นตอความขัดแย้งเกิดจากร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามเมื่อวันศุกร์ (4 ก.ค.) ซึ่งเป็นมาตรการลดภาษีครั้งใหญ่ มัสก์ออกโรงวิจารณ์ว่ากฎหมายดังกล่าวจะซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลที่หนักอยู่แล้วในยุครัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “แค่ตอนนี้ก็ขาดดุลปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ยังจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้าน อย่างนี้ประเทศก็ล้มละลายกันพอดี”

ท่าทีแข็งกร้าวของมัสก์ไม่เพียงแค่พูด เขายังขู่จะทุ่มเงินโค่นล้ม ส.ส. ที่หนุนกฎหมายฉบับนี้ พร้อมยกตัวอย่างกลยุทธ์จากประวัติศาสตร์ ว่าจะใช้แนวทาง “เอพามิโนทัส” แม่ทัพชาวกรีกโบราณ ที่เคยเอาชนะจักรวรรดิสปาร์ตา ด้วยการทุ่มกำลังทั้งหมดไปยังจุดยุทธศาสตร์เดียว

ด้านทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ตัดงบอุดหนุนจากรัฐบาลกลางที่บริษัทในเครือของมัสก์เคยได้รับนับพันล้านดอลลาร์ สะท้อนความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนจากแน่นแฟ้นในช่วงหาเสียง มาเป็นคู่ปรับทางการเมืองเต็มตัว

ความเคลื่อนไหวของมัสก์ส่งผลสะเทือนถึงตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้น Tesla ที่เคยพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 488 ดอลลาร์ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน แต่ภายหลังความขัดแย้งรุนแรงขึ้น มูลค่าหุ้นกลับร่วงต่อเนื่อง ล่าสุดปิดที่ 315.35 ดอลลาร์

แม้มัสก์จะมีศักยภาพทางการเงินมหาศาล แต่การตั้งพรรคใหม่เพื่อโค่นระบบสองพรรค (รีพับลิกัน – เดโมแครต) ซึ่งฝังรากลึกในการเมืองสหรัฐฯ มานานกว่า 160 ปี ถือเป็นภารกิจที่หนักหนา โดยเฉพาะเมื่อคะแนนนิยมของทรัมป์ยังอยู่เหนือ 40% แม้จะถูกวิจารณ์ว่านโยบายหลายอย่างสร้างความแตกแยกในสังคม

นักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่า ความขัดแย้งระหว่างมัสก์และทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 โดยเฉพาะต่อโอกาสของพรรครีพับลิกันในการครองเสียงข้างมากในสภา

ท่ามกลางความเงียบจากฝั่งทำเนียบขาวและทีมทรัมป์ คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า "พรรคอเมริกา" ของมัสก์จะกลายเป็นพลังใหม่ในการเมืองสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงแค่แรงกระเพื่อมในช่วงฤดูเลือกตั้งเท่านั้น