เมื่อวันจันทร์ที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ได้พบปะหารือกันที่ทำเนียบขาว โดยมุ่งเน้นไปที่วิกฤตตัวประกันในฉนวนกาซา และประเด็นทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะภาษีนำเข้าสินค้าจากอิสราเอล

ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ในอัตรา 17%

ระหว่างการประชุมสั้น ๆ ในห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมบางส่วน ทรัมป์กล่าวว่าการปล่อยตัวตัวประกันที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในฉนวนกาซาเป็น “เรื่องสำคัญที่สุด” พร้อมแสดงความหวังว่าการเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่จะนำไปสู่การปล่อยตัวตัวประกันในเร็ว ๆ นี้

“เรากำลังมีความคืบหน้า... ผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นตัวประกันทั้งหมดเดินทางกลับบ้านเร็ว ๆ นี้” ทรัมป์กล่าว โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

ทั้งสองผู้นำยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แม้จะยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิงฉบับใหม่ แต่ผู้นำทั้งสองต่างย้ำถึงความจำเป็นในการลดความรุนแรงในภูมิภาค

ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ได้ปกป้องการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากอิสราเอล โดยให้เหตุผลว่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการค้าที่ยุติธรรม ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูได้เรียกร้องให้มีการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความพยายามของอิสราเอลในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ

ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าสินค้ารวมระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลอยู่ที่ประมาณ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังอิสราเอลมูลค่า 14,800 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าสินค้าจากอิสราเอลมูลค่า 22,200 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดดุลการค้ากับอิสราเอลถึง 7,400 ล้านดอลลาร์

เดิมทีมีแผนจะจัดการแถลงข่าวร่วมหลังการหารือ แต่ทำเนียบขาวได้ยกเลิกโดยไม่ชี้แจงเหตุผล ทำให้ผู้สื่อข่าวต้องตั้งคำถามต่อผู้นำทั้งสองในระหว่างการเข้าร่วมประชุมแทน

อย่างไรก็ตาม การหารือครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงแผนระยะยาวใด ๆ สำหรับการฟื้นฟูหรือพัฒนาฉนวนกาซา แม้ว่าก่อนหน้านี้สหรัฐฯ จะเคยเสนอโครงการที่มีลักษณะเป็นข้อถกเถียงในภูมิภาคนี้มาแล้ว

การพบปะในครั้งนี้ถือเป็นการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสองชาติพันธมิตร ทั้งในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ซึ่งผู้นำทั้งสองให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไปในประเด็นที่ท้าทายเหล่านี้